ในงานประชุมวิชาการของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 63 ปี 2568 สาขาพืชวันที่ 6 มีนาคม 2568 ณ ห้องประชุม สำนักงานบริการคอมพิวเตอร์ ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร ร่วมกับ ภาควิชาเทคโนโลยีและการจัดการสิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง “คาร์บอนเครดิตกับเกษตรกรรมยั่งยืน: โอกาสที่เกษตรกรต้องรู้” เพื่อถ่ายทอดความรู้และเสนอแนะแนวทางเชิงปฏิบัติที่ดีในการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตร ในงานดังกล่าวมีการบรรยายโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และ การเสวนาโดยมีวิทยากรร่วมจาก นักวิชาการจาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ องค์การบริหารจัดการก๊าศเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. และ บริษัท สไปโรคาร์บอน จำกัด
รศ. ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่ง ผู้อำนวยการ ศูนย์วีกรีน คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับหลักการและวิธีดำเนินการ CARBON FOOTPRINT, CARBON CREDIT และสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตภาคเกษตร โดยเฉพาะ งานวิจัยเกี่ยวกับนาข้าวลดโลกร้อนทีมีการดำเนินงานก่อนหน้านี้ โดยได้ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายเข้าสู่ CARBON NEUTRALITY ภายในปี 2050 และ NET ZERO ภายในปี 2065 เพื่อแสดงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อปัญหาวิกฤตสภาพวิกฤตอากาศของโลก นอกจากนี้ ยังมีนโยบายสนับสนุนเรื่อง CARBON CREDIT โดยมุ่งเป้าเป็นศูนย์กลางซื้อขายคาร์บอนเครดิตในระดับภูมิภาค โดยคาดว่า จะมีความต้องการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้และการเกษตรเพิ่มมากขึ้นจากความต้องการจัดซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทเอกชนที่มีการประกาศเป้าหมาย CARBON NEUTRALITY, NET ZERO จากนั้น ดร. พฤฒิภา โรจน์กิตติคุณ ผู้อำนวยการสำนักรับรองคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าศเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ได้บรรยายให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คาร์บอนเครดิตภาคการเกษตร ว่ามีการพัฒนามาตรฐาน T-VER standard และ T-VER premium ที่สอดคล้องตามมาตรฐานสากล โดยมีความแตกต่างกันในเรื่องของขั้นตอนการดำเนินงานที่ T-VER premium ต้องเป็นโครงการใหม่เท่านั้น ต้องมีการทำประชุมพื่อประชาพิจารณ์ในพื้นที่ มีการตกลงเกี่ยวกับการมีผลประโยชน์ร่วมให้ชัดเจนก่อน รวมทั้งมีการประเมินความเสี่ยงความถาวรของโครงการ ตลอดจน หักคาร์บอนเครดิตบางส่วนไว้เป็นประกัน จากนั้น ต้องส่งเอกสารแสดงเจตจำนงค์ในการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตมายัง อบก. เพื่อรับทราบและแสดงความเห็นชอบ จึงจะเริ่มดำเนินโครงการได้ โดยสามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวประเภทโครงการ เงื่อนไขการพัฒนาโครงการ รูปแบบเอกสารข้อเสนอโครงการ ตลอดจน ข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องบนเว็บไซด์ของ อบก.
สำหรับการเสวนาเกี่ยวกับ คาร์บอนเครดิตในนาข้าว เริ่มจาก ดร. พฤฒิภา โรจน์กิตติคุณ ได้แจ้งให้ทราบว่าในปัจจุบัน มีโครงการคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตรที่ได้รับขึ้นทะเบียนแล้วทั้งหมด 11 โครงการและ มีโครงการคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตรที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิต 1 โครงการ นอกจากนี้ ทาง อบก. ได้รับเอกสารแสดงเจตจำนงค์ในการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตร จำนวน 11 โครงการ โดยมีโครงการคาร์บอนเครดิตนาข้าว (8 โครงการ) อ้อย ทุเรียน และป่าไม้
รศ. ดร.ภัทรา เพ่งธรรมกีรติ ภาควิชาเทคโนโลยีและการจัดการสิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้เชี่ยวชาญก๊าซเรือนกระจกในนาข้าว รวมทั้ง เป็นผู้พัฒนาระเบียบวิธีการประเมินค่าคาร์บอนเครดิตนาข้าว หรือ T-VER Premium กล่าวชี้แจงเกี่ยวกับเงื่อนไขสำคัญในการพัฒนาโครงการ คือ ต้องมีหนังสือแสดงสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฏหมาย และ มาตรการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ การใส่ปุ๋ย การจัดการน้ำ ต้องไม่ทำให้ผลผลิตลดจากเดิมเกิน 5% นอกจากนี้ ต้องทำการตรวจวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริงในพื้นที่โดยพิจารณาจากการเป็นตัวแทนที่ดีของพื้นที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด ทั้งนี้ ไม่ได้พิจารณาเรื่องการเผาเนื่องจากเป็นข้อกำหนดตามกฏหมาย โดยพบว่า นาชลประทานจะดำเนินการเรื่องนาเปียกสลับแห้งได้ง่ายกว่านาน้ำฝน
คุณผุสดี ธนาไกรกิติ บริษัท สไปโร คาร์บอน จำกัด ได้แนะนำบริษัทว่าเป็นธุรกิจให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI โดยได้ริเริ่มดำเนินการเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมในการยืนยันว่ามีการทำนาแบบเปียกสลับแห้งจริงด้วยภาพถ่าย จากนั้น นำไปประเมินค่าคาร์บอนเครดิตนาข้าว ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทฯ กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเสนอรายละเอียดดังกล่าวไปยัง อบก. เพื่อให้พิจารณาความเหมาะสมทางวิชาการ
ในช่วงท้าย ผศ.ดร.เฉลิมชัย วงศ์ลี้ ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกักเก็บคาร์บอนในดิน ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ แนวทางการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในดิน ว่าต้องประเมินสัดส่วนการใช้ปุ๋ยตามคุณสมบัติของดิน รวมทั้ง พิจารณาใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ย
ตลาดคาร์บอนเครดิตมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ ผู้พัฒนาโครงการ เกษตรกรเข้าร่วมโครงการ ผู้ตรวจสอบความใช้ได้ของโครงการและทวนสอบค่าคาร์บอนเครดิต และผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต โดยมีปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต ขึ้นอยู่กับ การตกลงเรื่องผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างผู้พัฒนาโครงการและเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ การจดบันทึก การรวบรวมข้อมูลจัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการ การตรวจวัด รายงาน และทวนสอบ ความยั่งยืนของโครงการ (การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน) ตลอดจน ราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิต ข้อสำคัญ คือ การลงทุนพัฒนาโครงการและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตลอดกระบวนการเพื่อเข้าสู่ตลาดคาร์บอน เหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการตัดสินใจพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต
ประเด็นถาม-ตอบ ที่น่าสนใจ
- นาน้ำฝน นาชลประทาน สามารถทำคาร์บอนเครดิตได้หรือไม่
ได้ เพียงแต่ นาชลประทาน สามารถบริหารจัดการน้ำได้ง่ายกว่า
- นาอินทรีย์ สามารถทำคาร์บอนเครดิตได้หรือไม่
ได้ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุในดินช่วยลดปริมาณการเกิดก๊าซมีเทน
- มีข้อกำหนดเรื่องการตรวจวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแปลงนา มีแนวทางเชิงปฏิบัติอย่างไร มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ต้องกำหนดพื้นที่อ้างอิงสำหรับ baseline emission และ พื้นที่โครงการสำหรับ project emission โดยเก็บตัวอย่าง อย่างน้อย 3 ซ้ำ ค่าใช้จ่ายประมาณ 2-3 แสนบาทต่อตัวอย่าง
- มีการพิจารณาเรื่องการเผาพื้นที่ในคาร์บอนเครดิตหรือไม่
เนื่องจากเป็นข้อกำหนดตามกฏหมายเรื่องห้ามเผา ดังนั้น ไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องนี้ในคาร์บอนเครดิต
- การรวบรวมข้อมูลกิจกรรมโดยใช้เทคโนโลยี Ai กับ การตรวจวัดจริง ให้ผลแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
เทคโนโลยี Ai ใช้แก้ปัญหาเรื่องการตรวจวัดในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถใช้แรงงานคนได้
มากกว่า ส่วนเรื่องความแม่นยำของผลนั้นยังไม่มีการรายงานผลวิจัยในเรื่องนี้
ท้ายนี้ จะเห็นได้ว่า เรื่องคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตร เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายในการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนสู่การเกษตรที่ดีหรือการเกษตรกรรมที่ยั่งยืน เพื่อช่วยลดโลกร้อน อนุรักษ์ดินและน้ำ ในขณะเดียวกัน ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้เสริมเพิ่มเติมจากรายได้หลักจากการเกษตรกรรม การพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตร ควรพิจารณาปัจจัยให้รอบด้านทั้งทางเทคนิคและการลงทุน รวมทั้ง ความยั่งยืนของโครงการ