“CBAM” หรือ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism) กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะนับเป็นครั้งแรกในโลกที่จะมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง
CBAM ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญของ European Green Deal
สหภาพยุโรปจะนำมาปรับใช้เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาในกลุ่มประเทศสมาชิก EU และปกป้องธุรกิจภายในกลุ่มประเทศสมาชิก EU ที่ต้องแบกภาระต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเพราะต้องปฏิบัติตามมาตรการ European Green Deal เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ทำให้การแข่งขันเป็นธรรม เมื่อเทียบกับสินค้านำเข้าจากประเทศที่ 3 นอก EU ที่ราคาสินค้าถูกกว่าเพราะการผลิตไม่มีต้นทุนการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
ถึงเวลาที่ภาคเอกชนไทยต้องเตรียมความพร้อม
ทั้งการขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมธิการยุโรปภายใต้ CBAM การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การรายงานและการตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การรายงานการจ่ายค่าคาร์บอนสินค้านำเข้าและส่งออก เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจไทย ดังนี้
- เร่งขึ้นทะเบียนในระบบ CBAM Registry ภายใน 31 ธันวาคม 2567 เพื่อไม่ให้ถูกตัดสิทธิ์การส่งออกสินค้าไปยัง EU และประสานงานกับผู้นำเข้าเพื่อรายงานข้อมูลต่าง ๆ ตามที่มาตรการกำหนด
- ต้องเตรียมพร้อมรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่มีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 3 ปีแรก โดยยังไม่ต้องซื้อและส่งมอบ CBAM Certificate ซึ่งจะบังคับใช้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2569 ดังนั้นระหว่างนี้ ควรประเมินว่าค่า Embedded Emission และจำแนกจุดปรับปรุงเพื่อลด Embedded Emission โดยในการจัดทำข้อมูล Embedded Emission โดยสามารถติดต่อ ผู้มีความสามารถในการให้คำปรึกษาด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) ดูรายชื่อที่ เว็บไซด์ของ องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. https://thaicarbonlabel.tgo.or.th/index.php?lang=TH&mod=WTI5dWMzVnNkR0Z1ZEE9PQ&action=Y0hKdlpIVmpkSE09
การคำนวณ “Embedded Emissions”
หมายถึง การประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกจากกระบวนการผลิต โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นภายในโรงงานผลิต ทั้งนี้ ไม่สามารถนำ Carbon Credits หรือ RECs มาหักลบหรือ ทดแทนได้ ซึ่งมีวิธีการคิด ดังนี้
Embedded Emissions = Direct Emissions + Indirect Emissions (Electricity) + Indirect Emissions (Precursors)*
โดย จะกำหนดไว้ว่าผลิตภัณฑ์ใดต้องพิจารณา GHG จากวัตถุดิบตั้งต้นบ้าง (Precursors)
1. Direct Emissions คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงในกระบวนการผลิต เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง การทำปฏิกิริยาในกระบวนการผลิต การกำจัดก๊าซเหลือทิ้ง เป็นต้น
2. Indirect Emissions (Electricity) คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่เกิดจากกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าในกระบวนการผลิตสินค้า
3. Indirect Emissions (Precursors) คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่เกิดจากการผลิตวัตถุดิบตั้งต้น ที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้า
แล้วฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของประเทศไทย ตอบโจทย์ CBAM หรือไม่
การคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เพื่อขอการรับรองค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์และขึ้นทะเบียนติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของประเทศไทย โดย องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) นั้น สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้ในการคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกจากกระบวนการผลิต โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นภายในโรงงานได้ *แต่ต้องแสดงที่มาของข้อมูลกิจกรรมและค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (EF: Emission Factor) นอกจากนี้ ต้องให้ทางสหภาพยุโรปยอมรับคุณภาพของข้อมูลกิจกรรมและค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว โดย ณ ตอนนี้ ผู้เชี่ยวชาญของสหภาพยุโรป ชี้แจงว่า หากไม่มีข้อมูล ให้ใช้ค่ากลางตามที่กำหนดให้
หน่วยงานภาครัฐของไทย ควรให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจอย่างไร?
สำหรับหน่วยงานภาครัฐของไทยเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องตรวจสอบคุณภาพข้อมูลที่ใช้ใน ฐานข้อมูลค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ระดับชาติ โดยเฉพาะ รายการสำคัญ ๆ ได้แก่ การผลิตไฟฟ้า เนื่องจากมีผลกระทบต่อการประเมินค่า Embedded Emissions อย่างมาก และ ยกระดับคุณภาพรายการข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่อยู่ในขอบเขตของมาตรการ
ผลเริ่มบังคับใช้
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นสำหรับผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ จะกำหนดเริ่มใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2569 และจะมีกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ถูกพิจารณาตามระเบียบของมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันมีประเภทสินค้าที่อยู่ในขอบเขตของมาตรการ ทั้งสิ้น 7 รายการ ได้แก่
- อะลูมิเนียม (Aluminum)
- เหล็กและเหล็กกล้า (Iron & Steel)
- ปูนซีเมนต์ (Cement)
- ปุ๋ย (Fertilizer)
- ไฟฟ้า (Electricity)
- ไฮโดรเจน (Hydrogen)
- ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอื่น ๆ (Other Downstream Products)
ในอนาคตอันใกล้
คาดการณ์ว่า สหภาพยุโรปจะกำหนดรวมเคมีภัณฑ์และพอลิเมอร์ (Organic Chemicals & Polymers) ให้อยู่ภายใต้มาตรการนี้ในช่วงปี 2026-2027 และในปี 2030 คาดการณ์ว่าจะครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ คาดว่ามีประเทศอื่น ๆ ที่ประกาศนโยบายคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น และประเทศออสเตรเลีย
อุตสาหกรรมอาหาร ได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM หรือไม่
กล่าวโดยสรุป ในช่วงแรกนี้ อุตสาหกรรมอาหาร ยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่ได้อยู่ในรายการผลิตภัณฑ์เป้าหมายที่ปล่อยคาร์บอนสูง แต่ควรมีการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะ เรื่องฐานข้อมูลค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ระดับชาติ และ การประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เพื่อพัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ
สามารถสอบถามข้อมูลบริการเพิ่มเติมได้ที่ VGREEN KU
ที่มาข้อมูล : เรียบเรียงโดย รศ. ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่ง (ผู้อำนวยการ วีกรีน คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท วีกรีน เคยู จำกัด)