คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) เรื่องที่ภาคธุรกิจควรรีบใส่ใจ

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) สำคัญอย่างไร ? 

ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา โลกเราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิสูงหรือต่ำผิดปกติ ฝนตกหนัก ฝนแล้ง ลมพายุรุนแรง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีสาเหตุหนึ่งมาจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) มากเกินสมดุลของธรรมชาติ

ชั้นบรรยากาศของโลกเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากที่ทำให้โลกแตกต่างจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ คือการมีและสภาพแวดล้อมที่อำนวยต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยมีปรากฏการที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์เรือนกระจก (green house effect)” ทำหน้าที่เป็นตัวสะท้อนและเก็บกักความร้อนให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต (ซึ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิต) และหากพลังงานความร้อนที่ถูกสะท้อนออกมาดันไม่ได้กลับสู่อวกาศทั้งหมด ความร้อนบางส่วนถูกดักไว้ในโลกโดยก๊าซเรือนกระจกที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ จะสะท้อนกลับสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เกิดการเก็บกักความร้อนและปล่อยบางส่วนคืนสู่พื้นผิวโลก

อย่างไรก็ตามเมื่อก๊าซเหล่านี้มีปริมาณมากเกินไปและรวมตัวกันอย่างหนาแน่นบนชั้นบรรยากาศโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) เสมือนโลกมีเรือนกระจกที่กั้นรังสีความร้อนเอาไว้ ทำให้รังสีของดวงอาทิตย์ที่ควรจะสะท้อนกลับออกไปถูกกักเก็บไว้ จนอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกค่อย ๆ สูงขึ้น หรือที่เราเรียกกันว่า ภาวะโลกร้อน (Global Warming) โดยปัจจุบันนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ระดับการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโลกเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ สภาวะโลกร้อนถูกคาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1.5-2 องศาเซลเซียส ภายในปี ค.ศ. 2100

ทำไมภาคธุรกิจต้องรีบใส่ใจและดำเนินการ ?

โดยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่าของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ นับเป็นกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีนัยสำคัญสูง ทำให้เกิดการเรียกร้องจากภาคประชาสังคมให้ภาคธุรกิจมีการแสดงข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจน กำหนดเป้าหมายในการเข้าสู่ความกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG emissions) เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวโน้มการตลาดจากคู่ค้าต่างประเทศและผู้บริโภคภายในประเทศอย่างชัดเจนที่ต้องการสนับสนุนภาคธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องลดโลกร้อน

ความหมายของ Carbon footprint คืออะไร 

ความหมายของ Carbon Footprint คือปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas emissions and removals) ที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กรหรือที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์หรือบริการตลอดวัฏจักรชีวิต มีหน่วยเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าCredit: กฟผ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสำหรับก๊าซเรือนกระจกหลัก ที่มีปริมาณการปล่อยสูงมีทั้งหมด 7 ชนิดที่สำคัญ (อ้างอิงจากพิธีสารเกียวโต: Kyoto Protocol) ได้แก่

1. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เกิดจากธรรมชาติและจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น ภูเขาไฟ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และการตัดไม้ทำลายป่า เป็นต้น
2. ก๊าซมีเทน (CH) เกิดจากธรรมชาติและจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเพาะปลูกข้าว การปศุสัตว์ การย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิต การเผาไหม้มวลชีวภาพ เป็นต้น (มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 25 เท่า)
3. ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (NO) เกิดจากธรรมชาติและจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตโดยแบคทีเรียในดินและมหาสมุทร การเกษตรกรรมที่ใช้ปุ๋ยที่มีองค์ประกอบของไนโตรเจน และอุตสาหกรรมที่ใช้กรดไนตริดในกระบวนการผลิต เป็นต้น (มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 298 เท่า)
4. ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) ในสารทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศ และเป็นสารขยายตัวของโฟม ตัวทำละลายและสารสำหรับการดับเพลิง (มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 124 – 14,800 เท่า ขึ้นอยู่กับประเภท)
5. ก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) เป็นก๊าซสังเคราะห์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท (มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 7,390 – 12,200 เท่า)
6. ก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3) ในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์หรือวงจรขนาดเล็ก (มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 17,200 เท่า)
7. ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) ในอุตสาหกรรมหนักหลายประเภท เช่น ยางรถยนต์ ฉนวนไฟฟ้า การผลิตสารกึ่งตัวนำไฟฟ้า อุตสาหกรรมแมกนีเซียม เป็นต้น (มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนมากที่สุด ซึ่งมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 22,800 เท่า)

การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มีกี่ประเภท มีขอบเขตดำเนินการอย่างไร

สำหรับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จะมีทั้งหมด 3 ประเภทได้แก่

  • คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO) หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง การใช้ไฟฟ้า การจัดการของเสีย และการขนส่ง วัดออกมาในรูปตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยพิจารณาหลักการคำนวณจาก 3 ส่วนหลัก แบ่งเป็น Scope ดังนี้
    – SCOPE 1: การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางตรง (Direct Emissions) จากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรโดยตรง เช่น การเผาไหม้ของเครื่องจักร การใช้พาหนะขององค์กร (ที่องค์กรเป็นเจ้าของเอง) การใช้สารเคมีในการบำบัดน้ำเสีย การรั่วซึม/รั่วไหล จากกระบวนการหรือกิจกรรม เป็นต้น
    – SCOPE 2: การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Energy Indirect Emissions) ได้แก่ การซื้อพลังงานมาใช้ในองค์กร ได้แก่ พลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน พลังงานไอน้ำ เป็นต้น
    – SCOPE 3: การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อมด้านอื่นๆ การเดินทางของพนักงานด้วยพาหนะที่ไม่ใช่ขององค์กร การเดินทางไปสัมมนานอกสถานที่ การใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้นโดยกำหนดให้มีการนับรวม SCOPE 1-2 ทั้งหมด และ SCOPE 3 โดยเฉพาะ กิจกรรมที่เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีนัยสำคัญสูง

 

  • คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (CFP) หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วย ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต/การประกอบชิ้นงาน การกระจายสินค้า การใช้งาน และการจัดการของเสียหลังหมดอายุการใช้งาน รวมถึงการขนส่งที่เกี่ยวข้อง โดยคำนวณออกมาในรูปของ กรัม, กิโลกรัม หรือตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

 

  • คาร์บอนฟุตพริ้นท์อีเวนท์ (CF-EVENT) หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมการจัดอีเวนท์ ได้แก่
    – ประเภท 1 เป็นการปล่อยก๊าซเรือน กระจกทางตรง ได้แก่ การใช้ เชื้อเพลิงและมีการเผาไหม้
    – ประเภท 2 เป็นการปล่อยก๊าซเรือน กระจกทางอ้อม ได้แก่ การใช้ไฟฟ้า ในการจัดเตรียมงานและช่วงจัดงาน
    – ประเภท 3 เป็นการปล่อยก๊าซเรือน กระจกทางอ้อมอื่นๆ ได้แก่ การ เดินทางของผู้เข้าร่วมงาน จํานวนคืนการพักค้าง ปริมาณขยะที่เกิดขึ้น

วิธีคำนวณ Carbon Footprint

ในระดับสากล ได้กำหนดมาตรฐาน ISO 14064-1 มีการกำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลและคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรใน และ มาตรฐาน ISO 14067 มีการกำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลและคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์สูตรการคำนวณ (อย่างง่าย) คือ GHG emission = Activity data + Emission factor

โดย Activity data  หมายถึง ข้อมูลกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อย GHGs และ Emission factor หมายถึง ค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการผลิตพลังงาน การผลิตวัตถุดิบ การขนส่ง การจัดการของเสีย และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลของ อบก. เป็นหลัก และ ข้อมูลวิชาการจากแหล่งอื่น ๆ ที่น่าเชื่อถือ

ประโยชน์ที่องค์กรได้รับจากการจัดการระบบ Carbon Footprint


คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร

  • เป็นข้อมูลสำหรับรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประจำปี ในรายงานความยั่งยืนขององค์กร, CARBON DISCLOSURE PROJECT, GRI, ONE REPORT
  • ต่อยอดในการกำหนดเป้าหมายลด และ ประเมินผลการดำเนินงานของมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก
  • ตอบสนองต่อเงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจน ทำการตลากับคู่ค้าธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ


คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์

  • เป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ
  • ต่อยอดในการขอรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint, Carbon Footprint Reduction, Carbon Neutral, Net Zero Labels)
  • ตอบสนองความต้องการตลาดจากต่างประเทศ และ ทำการตลาดเชิงรุกภายในประเทศ


คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของอีเวนท์

  • เป็นข้อมูลสำหรับการจัดอีเวนท์คาร์บอนต่ำ
  • ต่อยอดในการขอรับรองฉลากคาร์บอนนิวทรัลอีเว้นท์ (Carbin Neutral Event)
  • ทำการตลาดกับคู่ค้า MICE INDUSTRY ทั้งในและต่างประเทศที่ต้องการภาพลักษณ์ที่ดีในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

แนวคิดการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืนไม่หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว (Investment Style) ถือเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance : ESG) อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านตัวเลขที่ออกมาในรูปแบบของ Carbon Footprint ทำให้เราสามารถประเมินสถานการณ์ ตรวจสอบ และติดตามประเมินผล เพื่อบริหารจัดการให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงได้อย่างแท้จริง

สามารถสอบถามข้อมูลบริการเพิ่มเติมได้ที่ VGREEN KU

ที่มาข้อมูล : บริษัท วีกรีน เคยู จำกัด

: SDFTHAI

: องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)