จับตาตลาดคาร์บอนเครดิตไทย (Carbon Credit) ทำไมเป็นเมกะเทรนด์ ?

จับตาตลาดคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ซื้อขายได้จริงหรือ ทำไมถึงเป็นเมกะเทรนด์ ?

เรื่องของ Carbon Credit ต้องย้อนกลับไปในช่วงสมัยที่ทั้งโลกเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับ ปัญหาภาวะโลกร้อน (Climate change) มากขึ้น ทำให้ ต้องหันมาร่วมมือกันมากขึ้นเกี่ยวกับภาคธุรกิจ (เนื่องจากปล่อยปริมาณที่มากที่สุด) ที่ทำให้เกิด ก๊าซเรือนกระจก ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนนี้

สหประชาชาติได้พยายามแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยประกาศข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกของสหประชาชาติ (United National Framework Convention on Climate Change, UNCCC) ซึ่งได้มีการเจรจากันครั้งแรกที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนธันวาคม 1997 ซึ่งเรียกกันว่า พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)

โดยพิธีสารเกียวโต เป็นมาตรการทางกฏหมาย ที่ดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย ในการรับมือกับภาวะโลกร้อน ประเทศที่ให้สัตยาบันในพิธีสารนี้ จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ำ โอโซน มีเทน ไนตรัสออกไซด์ และคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (CFCs) ซึ่งคาดกันว่า หากได้รับการนำไปปฏิบัติ และประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ จะสามารถลดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ได้ถึงประมาณ 0.02-0.028 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050

ภาคธุรกิจได้ประโยชน์อะไรบ้างจากเรื่องคาร์บอนเครดิต (CARBON CREDIT)

ในชั่วโมงนี้ แทบจะเป็นไปได้ หากคนทำธุรกิจการค้าเพิกเฉยต่อประเด็น “สิ่งแวดล้อม” เพราะในบริบทที่ผู้คนเริ่มร้อนรุ่มกับภาวะโลกร้อน ความโน้มเอียงที่เหล่าผู้บริโภคจะเทใจให้การสนับสนุนธุรกิจที่รับผิดชอบต่อส่วนรวม ย่อมมีมากกว่า โดยมีปัจจัยอย่างการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่นานาประเทศจับมาเป็นเกณฑ์ชี้วัดที่จับต้องได้มากขึ้น ส่งผลให้ตลาดคาร์บอนเครดิต (carbon market) กำลังก้าวสู่การเป็น “เมกะเทรนด์” ที่น่าจับตามองที่สุดอีกหัวข้อหนึ่ง

คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คืออะไร ?

คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) ที่ลดหรือกักเก็บได้จากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกลดก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ เช่น การปลูกป่า การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอน เป็นต้น

มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งก๊าซเรือนกระจกที่ถูกควบคุมภายใต้พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) มี 7 ชนิด ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซมีเทน (CH4) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFC) ก๊าซเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFC) ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) และก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3)องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO: Thailand Greenhouse Gas Management Organization (Public Organization) ได้พัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทยอีกชื่อว่า Thailand Voluntary Emission Reduction Program (T-VER) ซึ่งเป็นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศโดยความสมัครใจ และสามารถนำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น (คาร์บอนเครดิต) ซึ่งภายใต้โครงการ T-VER นี้เรียกว่า “TVERs Credit” ไปใช้ในการรายงานผลการดำเนินงาน แลกเปลี่ยน หรือซื้อขายภายในประเทศ ทั้งนี้ อบก. จะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการพัฒนาโครงการ ระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ รวมถึงขั้นตอนการขึ้นทะเบียนและการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก

ความเป็นมาของคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย

เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ใหม่สำหรับประเทศไทย หากนั่งไล่ดู Timeline ที่เราเริ่มเข้าร่วมการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ในปี 2545 จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการให้ความรู้แก่ภาคธุรกิจไทยยังมีส่วนน้อยที่เข้าใจความสำคัญของส่วนนี้ เพราะคาร์บอนเครดิตที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์ที่พูดถึงนี้ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน เนื่องจากการลดภาวะโลกร้อน เป็นประเด็นสำคัญและเร่งด่วนที่จะกระทบต่อธุรกิจไทยทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

  • ปี 2545 ไทยเข้าร่วมให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต ในสนธิสัญญาการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งจะไม่ถูกบังคับให้มีพันธกรณีในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • ปี 2550 ไทยจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO) ขึ้น มีวัตถุประสงค์หลักในการวิเคราะห์ กลั่นกรอง และทำความเห็นเกี่ยวกับการให้คำรับรองโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด รวมทั้งติดตามประเมินผลโครงการที่ได้รับคำรับรอง ส่งเสริมการพัฒนาโครงการ และตลาดซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนเครดิต) ที่ได้รับการรับรอง
  • ปี 2559 ไทยเข้าร่วมให้สัตยาบันในความตกลงปารีส โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งตั้งเป้าหมายควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และได้กำหนดเป้าหมายที่สูงขึ้นไว้ควบคู่กันว่า จะพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้น้อยลงไปอีกจนถึงต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส
  • ปี 2564 ไทยเข้าร่วมการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) โดยไทยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ.2608 โดยใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ตลาดคาร์บอนเครดิต คืออะไร ?

อธิบายโดยง่ายคือเป็นตลาดการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต อย่างที่กล่าวไปข้างต้น คาร์บอนเครดิตหมายถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้จากการดำเนินโครงการผ่านกลไกลดก๊าซต่างๆ สิ่งนี้ถือว่าเป็นโอกาสและเป็นเครื่องมือให้กับภาคธุรกิจอีกหนึ่งทาง โดยเป็นทางเลือกในการบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก ให้กับ ผู้ซื้อ (มีต้นทุนลดก๊าซเรือนกระจกสูงกว่า) และ เป็นโอกาสของ ผู้ขาย (มีต้นทุนลดก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่า)

สำหรับตลาดการซื้อขายคาร์บอน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory Carbon Market) ถูกจัดตั้งขึ้นจากผลบังคับในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกฎหมาย มีกฎหมายและกฎระเบียบที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายกำกับอย่างชัดเจน ซึ่งภาครัฐหรือหน่วยงานกำกับเป็นผู้ดูแลและบังคับด้วยกฎหมาย เพื่อไม่ให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (Legally Binding Target) หากผู้ใดสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ก็สามารถนำปริมาณก๊าซเรือนกระจกในส่วนที่ปล่อยต่ำกว่าเกณฑ์ไปขายให้กับองค์กรอื่น ๆ ได้หรือที่รู้จักกันในนาม Emission Trading Scheme (ETS) และระบบ Cap and Trade

2. ตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) ถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมก๊าซเรือนกระจกมาบังคับ การจัดตั้งตลาดเกิดขึ้นจากความร่วมมือกันของผู้ประกอบการหรือองค์กรเพื่อเข้าร่วมซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดด้วยความสมัครใจ คาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการดังกล่าวสามารถนำมาขายในตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจได้และองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมเกินกว่าปริมาณที่กำหนด สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตดังกล่าวเพื่อทำให้ตนเองได้รับสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมอีกครั้งในปริมาณที่ไม่เกินกว่าปริมาณที่กำหนด

สามารถดำเนินการซื้อขายได้ 2 รูปแบบ

1. การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Trading Platform) หรือ ศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นศูนย์กลางหรือเครือข่ายใด ๆ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อขายคาร์บอนเครดิตอย่างเป็นทางการโดยการจับคู่หรือหาผู้ซื้อและผู้ขายคาร์บอนเครดิตหรือการจัดระบบหรืออำนวยความสะดวกให้ผู้ประสงค์จะซื้อขายคาร์บอนเครดิตสามารถทำความตกลงหรือจับคู่สัญญากันได้

2. การซื้อขายในระบบทวิภาค (Over-the-counter: OTC) เป็นการตกลงกันระหว่างผู้ต้องการซื้อและผู้ขายคาร์บอนเครดิตโดยตรงโดยไม่ผ่านตลาด ซึ่งรูปแบบการซื้อขายของไทยภายใต้โครงการ T-VER เป็นการซื้อขายรูปแบบดังนี้ โดยบุคคลหรือนิติบุคคลที่สามารถขายคาร์บอนเครดิต TVERs ได้ คือ โครงการที่จะผ่านการพิจารณาให้ขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ T-VER  โดยต้องผ่านหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนทั้ง 6 ข้อ ดังนี้

  1. ดำเนินกิจกรรมของโครงการเป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง และมีการดำเนินงานสอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER)
  2. มีการดำเนินงานเข้าข่ายโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ต้องพิสูจน์ส่วนเพิ่มเติม (Positive List) หรือมีการดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานตามปกติ (Additionality) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ อบก. กำหนด
  3. สอดคล้องกับระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (T-VER Methodology) ตามที่คณะกรรมการ อบก. กำหนด
  4. ประเมินศักยภาพการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกของโครงการเป็นไปตามระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (T-VER Methodology)
  5. ต้องได้รับการตรวจสอบความใช้ได้ (Validation) จากผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากคณะกรรมการ อบก.
  6. ใช้วิธีการติดตามผล และรายงานการลดก๊าซเรือนกระจกตามระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (T-VER Methodology)

การขอขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER

ผู้พัฒนาโครงการ จะต้องจัดเตรียมเอกสารประกอบโครงการตามที่ อบก. กำหนด ต้องมีการตรวจสอบความใช้ได้ (Validation) โครงการ โดยผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจ (Validation and Verification Body: VVB) จากนั้น ผู้พัฒนาโครงการเป็นผู้ยื่นเอกสารต่างๆ ไปยัง อบก. เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ T-VER

ผู้ที่ประสงค์จะขายคาร์บอนเครดิตสามารถดำเนินการได้ ดังนี้

  • เจ้าของบัญชี T-VER Credits หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของบัญชี T-VER Credits แจ้งความประสงค์ในการขายคาร์บอนเครดิต จำนวนคาร์บอนเครดิต และคาร์บอนเครดิตจากโครงการใด ไปยังเจ้าหน้าที่ อบก.
  • อบก. พิจารณาความถูกต้อง
  • อบก. จะดำเนินการโอน (Transfer) หรือหักล้าง (Cancel) คาร์บอนเครดิต ตามที่ได้รับแจ้งแก่ผู้ใช้งาน ภายใน 3 วัน ทำการ หลังจากตรวจสอบข้อมูล/เอกสารเรียบร้อยแล้ว
  •  อบก. จะส่งเอกสาร Transfer Notification/Cancellation Notification ไปยังอีเมลของเจ้าของบัญชี T-VER Credits หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของบัญชี T-VER Credits ในการทำธุรกรรม

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อคาร์บอนเครดิต

สามารถสอบถามไปยังเจ้าของคาร์บอนเครดิตได้โดยตรง ตามช่องทางติดต่อในเอกสารโครงการ โดยสามารถดูเอกสารโครงการได้ที่ http://ghgreduction.tgo.or.th/tver-database-and-statistics/t-ver-registered-project.html

สถานการณ์ Carbon Credit ของไทยและต่างประเทศ

1. ประเทศที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก (พ.ศ. 2563) ในปีพ.ศ. 2563 ประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมากที่สุดในโลก 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย รัสเซีย และญี่ปุ่น ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 21 ของโลก มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราว 277.1 ล้านตันต่อปีซึ่งคิดเป็นร้อยละ 0.87 ของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของทั้งโลกที่ถูกปล่อยออกมา

2. เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศ จากการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) หรือ COP26 มีเป้าหมายสูงสุด คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปีพ.ศ. 2573 และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ทั่วโลกภายในปี พ.ศ. 2593 โดยแต่ละประเทศมีระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์แตกต่างกันไปตามความพร้อมของแต่ละประเทศ

3. แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทยเติบโตขึ้น 5-10 เท่าตัว พบว่า ปัจจุบันมีหลายองค์กรเริ่มประกาศเป้าหมายที่จะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) รวมทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) อย่างชัดเจน นอกจากนี้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ได้จัดตั้งเครือข่ายคาร์บอนนิวเทรัลประเทศไทย (Thailand Carbon Neutral Network : TCNN) ขึ้น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคท้องถิ่นในการยกระดับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศและมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ตามเจตนารมณ์ของประชาคมโลกที่ปรากฎในเป้าหมายของความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โอกาสของภาคธุรกิจ

  • เป็นผู้พัฒนาโครงการ T-VER หรือ เป็นที่ปรึกษา หรือ เป็นผู้ตรวจสอบความใช้ได้/ทวนสอบ หรือเป็นนักคาร์บอนเครดิต
  • เป็นทางเลือกให้ภาคอุตสาหกรรมไทยที่ตั้งเป้าสู่ Carbon Neutrality, Net Zero Emissions
  • เป็นการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมสังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance : ESG)

สามารถสอบถามข้อมูลบริการเพิ่มเติมได้ที่ VGREEN KU

ที่มาข้อมูล : บริษัท วีกรีน เคยู จำกัด
: องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
: สมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย
: ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)