CBAM กับ ภาวะโลกร้อน (Global Warming) 
ภาวะโลกร้อนได้สร้างความเสียหายและเห็นผลกระทบชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ทั่วโลกเกิดความตื่นตัว และเห็นความสำคัญของปัญหาภาวะโลกร้อนมากขึ้น สหภาพยุโรป หรือ EU เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง ในปี 2562 คณะกรรมาธิการยุโรป ได้ออกแผนการปฏิรูปสีเขียว ตั้งเป้าหมายว่าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) ลง 50-55% ภายในปี 2573 และในปี 2593 ต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) เพื่อทำให้อุณหภูมิของโลกไม่เพิ่มขึ้นเกิน 5-2.0 องศาเซลเซียส ตามที่ตกลงกันไว้ในความตกลงปารีส (Paris Agreement)
ซึ่งมาตรการ CBAM เป็น 1 ใน มาตรการสำคัญของ European Green Deal ที่สหภาพยุโรปจะนำมาปรับใช้นั่นเอง
Carbon Border Adjustment Mechanism คือ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภท เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาใน EU ในสินค้า 5 กลุ่มแรก ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของคาร์บอนสูง ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย และอลูมิเนียม
สำหรับในประเทศไทยเองนั้น ก็มีแนวทางในรับมือกับมาตรการนี้เช่นเดียวกัน
สรุปประเด็นจากสัมมนามาตรการควบคุมการปล่อยคาร์บอน ก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป และโอกาสในการลดคาร์บอนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 มีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
1) ภาพรวม EU CBAM จะมีผลกระทบอย่างไรต่อไทย ในช่วง “Transitional Phase” (1 ต.ค. 2566 – 31 ธ.ค. 2568) หรือช่วงการเปลี่ยนผ่านของระบบ EU Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) จะมีผลกระทบ ดังนี้:
- ผู้ประกอบการจะต้องเริ่มเรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดและมาตรการใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ CBAM เพื่อให้สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์และแข่งขันในตลาด EU ต่อไปได้ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเหล็กและเหล็กกล้า และ อลูมิเนียม ต้องเริ่มมีการดำเนินการตรวจวัด และรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า
- ในช่วง “Transitional Phase” นี้ ถือเป็นช่วงการเรียนรู้ ยังไม่จำเป็นต้องมีการว่าจ้างผู้ทวนสอบข้อมูลการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก และยังไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการซื้อ CBAM Certificates
หน่วยงานภาครัฐควรเริ่มจัดทำกฎหมาย นโยบาย และมาตรการเพื่อสนับสนุนธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ในการปรับตัวรับมือกับ CBAM ในช่วง Transitional Phase และสินค้าอื่นๆ ที่อาจถูกควบคุมเพิ่มเติมในอนาคต นอกจากนี้ยังควรมีการจัดการอบรม และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบ Embedded Emissions และข่าวสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในช่วง “Post-TransitionalPhase” (หลัง 1 ม.ค. 2569) ระบบ EU Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) จะมีผลกระทบ ดังนี้:
- ผู้ประกอบการต้องมีการว่าจ้างผู้ทวนสอบที่ขึ้นทะเบียน และได้รับการรับรองตามที่ EU กำหนด เพื่อทำการทวนสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Embedded Emissions) ของสินค้าที่จะนำเข้าไปในสหภาพยุโรป
- ในกรณีสินค้าที่นำเข้า มีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า (Embedded Emissions) เกินกว่าปริมาณ อัตราอ้างอิงที่กำหนด จะต้องมีการชำระค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อ CBAM Certificates ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือน กระจกส่วนเกินนั้น
- ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องเริ่มนำเทคโนโลยี และมาตราการลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตเข้ามาใช้
ในยุคที่การค้าระหว่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญ ภาคอุตสาหกรรมของไทยต้องเตรียมตัวสำหรับการปรับตัวให้สอดคล้องกับ กฎหมาย และมาตรการที่อาจถูกกำหนดขึ้นในอนาคต ไม่เพียงแต่จาก EU แต่ยังมีประเทศอื่นๆ อาทิ สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย ที่กำลังมีแนวคิดเกี่ยวกับการค้าที่คล้ายกัน
ในยุคที่การค้าระหว่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญ ภาคอุตสาหกรรมของไทยต้องเตรียมตัวสำหรับการปรับตัวให้สอดคล้องกับ กฎหมาย และมาตรการที่อาจถูกกำหนดขึ้นในอนาคต ไม่เพียงแต่จาก EU แต่ยังมีประเทศอื่นๆ อาทิ สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย ที่กำลังมีแนวคิดเกี่ยวกับการค้าที่คล้ายกัน
2) การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Embedded Emissions) ภายใต้มาตรการควบคุมการปล่อยคาร์บอน ก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU CBAM) จะไม่สามารถนำ Renewable Energy Certificates (RECs) และ Carbon Credits มาใช้ทดแทนหรือชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ หมายความว่าอย่างไร
การคำนวณ “Embedded Emissions” หมายถึงการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกจากกระบวนการผลิต สินค้าในแต่ละขั้นตอน โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นภายในโรงงานผลิตนั้นๆ ซึ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต้องรายงาน ต้องเป็น การปล่อยที่เกิดขึ้นจริงจากกระบวนการผลิตของผู้ประกอบการ ไม่สามารถนำ Carbon Credits หรือ RECs มาหักลบหรือ ทดแทนได้
ดังนั้น ในกรณีที่โรงงานใช้ซื้อ Renewable Energy Certificates (RECs) จากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หรือมีการซื้อ Carbon Credits จากโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สิ่งเหล่านี้จะไม่ถูกนำมาคำนวณใน “Embedded Emissions” ตามข้อกำหนดของ EU เพื่อหลีกเลี่ยงการนับซ้ำ เนื่องจากยากต่อการตรวจสอบและรับรอง ที่มาของพลังงานหมุนเวียน หรือ Carbon Credits
ในการคำนวณ Embedded Emissions ตามข้อกำหนดของ EU จะต้องใช้ค่า Emission Factor (EF) ที่ได้จากระบบ ไฟฟ้าของประเทศที่สินค้าถูกผลิต (Grid Emission Factor) และที่มีการส่งข้อมูลไปยัง EU แล้วเท่านั้น
การคำนวณ Embedded Emissions จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน และข้อกำหนดของ EU ซึ่งอาจจะต่างจากมาตรฐาน หรือข้อกำหนดในประเทศอื่น ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสินค้าไปยัง EU จะต้องใช้วิธีการคำนวณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกที่เข้มงวดและเจาะจงมากขึ้น และไม่สามารถใช้วิธีการทดแทนที่อาจจะได้รับการยอมรับในท้องถิ่นหรือใน บริบทอื่นๆ
3) ความท้าทายในการเพิ่มสัดส่วน RE ในประเทศ ส่งผลต่อผู้ประกอบการในประเทศ ในการลดความเสี่ยงมาตรการ ควบคุมการปล่อยคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU CBAM) อย่างไร
โครงสร้างพื้นฐานในการผลิต และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงไปสู่การเพิ่มสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนเป็นไปได้ยาก หากไม่มีการปรับโครงสร้างตลาดไฟฟ้า และการปลดล็อคกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ การเปลี่ยนแปลงนี้จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวของ ประเทศ
ตลาดการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นแบบ Enhanced Single Buyer คือ ระบบที่มีเป้าหมายในการสร้างความมั่นคง ด้านพลังงาน แต่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด หรือเพิ่มสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน (RE) จึง จำเป็นต้องมีการวางแผนและปรับปรุงระบบใหม่อย่างรอบคอบ
การเพิ่มสัดส่วน RE ในตลาดไฟฟ้าจำเป็นต้องมีการปรับปรุงระบบสายส่ง และการจัดจำหน่าย รวมถึงการสร้างโอกาสให้ ธุรกิจสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทน ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษา และวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับ ทุกภาคส่วนในการเปลี่ยนแปลง
ความท้าทายดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยขาดทางเลือกของแหล่งไฟฟ้าที่จะซื้อ ทำให้ไม่สามารถเพิ่ม สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนได้ตามต้องการ ดังนั้น จึงเป็นโจทย์ที่ภาครัฐจำเป็นต้องแก้ไข เพื่อให้ผู้ประกอบการ สามารถมีทางเลือกของแหล่งพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนผ่านกลไก Power Purchase Agreement (PPA) ได้ เพื่อลดการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก Embedded Emissions และลดค่าใช้จ่ายในการซื้อ CBAM Certificate
4) กลไกราคาคาร์บอนของไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นจะมีความสัมพันธ์อย่างไรกับ CBAM กลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing Mechanism) ที่ประเทศไทยกำลังจะนำมาใช้จะมีความสัมพันธ์กับ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของสหภาพยุโรป (EU) ในหลายด้าน ดังนี้:
- ความสอดคล้องในเป้าหมาย: ทั้งสองกลไกนี้มีเป้าหมายหลัก คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น ธุรกิจ ในประเทศไทยที่ปฏิบัติตามกลไกราคาคาร์บอนของไทยอาจจะมีข้อได้เปรียบในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ CBAM
- การปรับตัวของธุรกิจ: ธุรกิจที่ส่งออกสินค้าไปยัง EU จะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับ CBAM ดังนั้นหากมีการ บังคับใช้กลไกราคาคาร์บอนในประเทศ จะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้ง่ายขึ้น กล่าวคือ ธุรกิจดังกล่าวจะต้องมีการดำเนินการในการคำนวน การรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปรับปรุงกระบวนการการผลิตสินค้า ให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำตามมาตรการภายในประเทศอยู่แล้ว ทำให้สามารถปฎิบัติตามข้อบังคับของ CBAM ได้อย่างสอดคล้องกัน
- การส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: กลไกราคาคาร์บอนของไทยจะเป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจลดการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะทำให้สินค้าจากไทยมีโอกาสสูงขึ้นในการผ่านเกณฑ์ของ CBAM โดยสามารถนำราคาคาร์บอนที่จ่ายไปตามกลไกภาคบังคับภายในประเทศไทย ไปหักลบกับราคา CBAM Certificate ได้
- ความยืดหยุ่นในการปรับนโยบาย: ถ้าประเทศไทยมีกลไกราคาคาร์บอนที่เข้มงวด และมีมาตรฐานที่สูงสอดคล้องกับ EU CBAM จะทำให้ประเทศไทยมีความยืดหยุ่นในการปรับนโยบาย เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงใน EU CBAM
- การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ: การมีกลไกราคาคาร์บอนในประเทศไทย อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและ EU ในด้านการจัดการเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สามารถสอบถามข้อมูลบริการเพิ่มเติมได้ที่ VGREEN KU
ที่มาข้อมูล : บริษัท วีกรีน เคยู จำกัด VGREEN KU Co., Ltd.
ผู้เขียน: รศ.ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่่ง และคณะ