CIRCULAR ECONOMY (เศรษฐกิจหมุนเวียน) ทำก่อนเพื่อน รวยก่อนใคร โอกาสของภาคธุรกิจไทย

CIRCULAR ECONOMY หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียน … โอกาสทองภาคธุรกิจไทย ทำไมต้องเศรษฐกิจหมุนเวียน ?

เศรษฐกิจหมุนเวียน CIRCULAR ECONOMY

เป็นเทรนด์ธุรกิจยั่งยืน ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มุ่งเป้าในการหมุนเวียนวัสดุควบคู่ไปกับการใช้นัวตกรรมในการเพิ่มมูลค่าเพื่อให้วัสดุหรือของเสีย (ที่กลายมาเป็นวัสดุอีกหลาย ๆ รอบ) ให้อยู่ในระบบเศรษฐกิจให้นานที่สุด

นโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทยและการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนในภาคธุรกิจ

ประเทศไทยเล็งเห็นถึง ความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยคาดหวังว่า การประยุกต์ใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนจะช่วยลดปริมาณการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน ชะลอการนำเอาทรัพยากรใหม่มาใช้ รวมทั้ง ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก่อให้เกิดรูปแบบธุรกิจแนวใหม่ที่ที่สอดคล้องกับแนวโน้มผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ช่วยสร้างงานและสร้างรายได้ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ข้อสำคัญ คือ เป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ภาคธุรกิจไทย

เพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทยและการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนในภาคธุรกิจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ภาครัฐ จึงได้พัฒนาเครื่องมือการตลาดภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ดังนี้

ฉลากผลิตภัณฑ์หมุนเวียน CIRCULAR MARK

จากการเรียกร้องให้มีการพัฒนาระบบรับรองฉลากผลิตภัณฑ์หมุนเวียน หรือเรียกว่า CIRCUALR MARK จากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากลูกค้าต้องการให้แสดงข้อมูลการใช้วัสดุหมุนเวียน และ รับรองความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขทางการค้า ทำให้ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งข้นของประเทศ หรือ บพข. ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน  ให้ทุนวิจัยกับ วีกรีน คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมกับหน่วยงานภาคี ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติกและขยะอย่างยั่งยืน หรือ กลุ่ม PPP Plastics ในการพัฒนา ข้อกำหนดฉลากผลิตภัณฑ์หมุนเวียนให้สอดคล้องตามมาตรฐานสากล

CIRCULAR MARK ได้รับการพัฒนาขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในโลก

ภายใต้การดำเนินโครงการวิจัย บพข. เรื่อง “การพัฒนาระบบฉลากสิ่งแวดล้อมสำหรับผลิตภัณฑ์หมุนเวียนอันเป็นการส่งเสริมการหมุนเวียนวัสดุเพื่อขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทย” (เดือนมิถุนายน 2564 – พฤษภาคม 2565) มี 5 กลุ่มอุตสาหกรรมบุกเบิกที่ได้ฉลากนี้ : เกษตร-อาหาร, วัสดุก่อสร้าง, พลาสติก, บรรจุภัณฑ์ และแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์ โดยมี 376 ผลิตภัณฑ์ จาก 30 บริษัท ที่ได้รับการรับรอง CIRCULAR MARK เป็นกลุ่มแรกของไทย ซึ่งมีอายุการรับรอง 3 ปี โดยผู้บริโภคสามารถค้นหาตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการติดฉลากดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ Thai Eco Products ซึ่งจัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย https://thaigreendirectory.com/search?search=3&text=36

ปัจจุบัน มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ทำหน้าที่เป็น เจ้าของรับการรับรอง และ ให้การรับรอง CIRCULAR MARK ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.tei.or.th/th/ourwork_project_detail.php?pid=172&aid=11

มาตรฐานระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียน CIRCULAR ECONOMY MANAGEMENT SYSTEM ได้รับการพัฒนาขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน

สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) รับมอบนโยบายจากกระทรวงอุตสาหกรรมมาขับเคลื่อนภายใต้ภารกิจด้านการกําหนดมาตรฐาน และการตรวจสอบและรับรอง โดยมีแนวทางการดำเนินการ คือ กำหนดมาตรฐานเพื่อเป็นแนวทางสำหรับองค์กรในการดำเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน และส่งเสริมให้มีการตรวจสอบและรับรอง โดย สมอ. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวิชาการคณะที่ 5 เศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อจัดทำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งได้การจัดทำมาตรฐานแล้วเสร็จ จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่

  • มาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ แนวทางการใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนในองค์กร (มาตรฐานเลขที่ มตช. 2-2562)
  • มาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ ระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับองค์กร เล่ม 2 ข้อกำหนด (มาตรฐานเลขที่ มตช. 2 เล่ม 2 – 2564)  โดยได้รับการพัฒนาขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน

ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทย เรียกร้องให้มีการจัดทำข้อกำหนดที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ในระดับองค์กร และให้การรับรองกับองค์กร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าต่างประเทศ ทำให้ บพข. ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน  ให้ทุนวิจัยกับ วีกรีน คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมทั้ง หน่วยงานวิจัยร่วม ได้แก่ สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจน บริษัทนำร่อง ครอบคลุมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร วัสดุก่อสร้าง พลาสติก บรรจุภัณฑ์ แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ พลังงานสะอาด รวมทั้ง ที่ปรึกษา และ หน่วยตรวจสอบรับรอง เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนสู่การประยุกต์ใช้จริงตามข้อกำหนดของมาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ ตลอดจน พัฒนาผู้มีความสามารถในการเป็นที่ปรึกษา ให้มีองค์ความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางเชิงปฏิบัติและการแสดงความสอดคล้องตามข้อกำหนดของมาตรฐานระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนองค์กร พัฒนาผู้ตรวจประเมิน ให้มีองค์ความรู้และทักษะในการตรวจประเมินความสอดคล้องตามข้อกำหนดของมาตรฐานระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนองค์กร และ พัฒนาระบบการตรวจสอบและรับรอง สำหรับระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนองค์กรของประเทศไทย ให้เป็นที่ยอมรับในระดับชาติและสากล

ภายใต้การดำเนินโครงการวิจัย บพข. เรื่อง “การพัฒนาระบบการตรวจสอบและรับรองระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนองค์กรเพื่อผลักดันนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน” (เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 – เดือนมีนาคม ปี 2567) ทำให้ในปัจจุบันมีบริษัทที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียน ระดับชาติ จำนวน 26 บริษัท พร้อมด้วย ที่ปรึกษา 34 คน ผู้ทวนสอบ 20 คน และหน่วยตรวจรับรอง 4 แห่ง ที่พร้อมขยายขอบเบตการให้บริการปัจจุบัน สมอ. ทำหน้าที่เป็น เจ้าของระบบรับรอง และ ให้การรับรองมาตรฐานระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https:// intelligence.masci.or.th/certified/มตช-2-เล่ม-2-2564-ระบบการจัดการ/

เศรษฐกิจหมุนเวียนทั่วโลก

ข้อมูลจากฐานข้อมูลด้านการตลาดและอุตสาหกรรม Statista ระบุว่า ในปี 2565 เศรษฐกิจหมุนเวียนทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 3.39 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปี 2569 เป็นประมาณ 7.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจากตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจหมุนเวียนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มตลาดและการบริโภคของผู้บริโภคยุคใหม่ได้เปิดรับสินค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีการประยุกต์ใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลจาก Ellen MacArthur Foundation (EMF) ที่กล่าวถึงโอกาสสําคัญต่อภาคธุรกิจที่เกิดจากการประยุกต์ใช้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่

  1. โอกาสในการทํากําไร
  2. โอกาสด้านความมั่นคงและความยืดหยุ่นของอุปทานที่มีเพิ่มขึ้น
  3. โอกาสจากความต้องการที่มีต่อโมเดลธุรกิจบริการในรูปแบบใหม่
  4. โอกาสในการขยายความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าใหม่

(อ้างอิงจาก https://samutprakan.moc.go.th/th/content/category/detail/id/112/iid/23766)

CIRCULAR ECONOMY วิกฤตหรือโอกาสของภาคธุรกิจไทย

ประเทศไทยมีธุรกิจ Circular Economy ที่จดทะเบียนนิติบุคคลจำนวน 1,908 ราย คิดเป็น 0.21% ของธุรกิจทั้งหมด มีมูลค่าทุนจำนวน 32,395 ล้านบาท คิดเป็น 0.15% ของธุรกิจทั้งหมด ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบริษัทจำกัดจำนวน 1,544 ราย คิดเป็น 81.45% มูลค่าทุนจำนวน 27,406 ล้านบาท และห้างหุ้นส่วนจำกัดจำนวน 348 ราย คิดเป็น 18.24% มูลค่าทุนจำนวน 523 ล้านบาท และบริษัทมหาชน จำกัด จำนวน 6 ราย คิดเป็น 0.31% มูลค่าทุนจำนวน 4,466 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 2566)

จากบริบทดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีความพร้อม ทั้งในระดับนบายและระดับการประยุกต์ใช้ ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสสําคัญต่อภาคธุรกิจไทยที่เกิดจากการประยุกต์ใช้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่  โอกาสในการทํากําไร โอกาสด้านความมั่นคงและความยืดหยุ่นของอุปทานที่มีเพิ่มขึ้น และโอกาสจากความต้องการที่มีต่อโมเดลธุรกิจบริการในรูปแบบใหม่ และ  โอกาสในการขยายความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าใหม่ ภาครัฐและภาคเอกชนควรติดตามและใช้ประโยชน์จากแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่หากนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ จะได้ประโยชน์ทั้งในด้านการลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การค้า และการให้บริการ ตลอดจนมีโอกาสในการสร้างรายได้จากการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ๆที่สอดคล้องกับแนวโน้มผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (อ้างอิงจาก https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1101582)

สามารถสอบถามข้อมูลบริการเพิ่มเติมได้ที่ VGREEN KU

ที่มาข้อมูล : เรียบเรียงโดย รศ. ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่ง (ผู้อำนวยการ วีกรีน คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท วีกรีน เคยู จำกัด)