เศรษฐกิจหมุนเวียน โอกาสใหม่ทางการตลาดของธุรกิจยั่งยืน (CIRCULAR ECONOMY: NEW MARKET OPPORTUNTIES FOR SUSTAINABLE BUSINESS)

ที่มา: https://www.arup.com/perspectives/what-is-the-circular-economy
นโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทย
ประเทศไทย ออกนโยบายโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (Bio, Circular, Green Economy) เพื่อขับเคลื่อนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ถิอเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมที่มุ่งเน้นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากรชีวภาพ เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าหรือยาวนานที่สุด และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) การพัฒนาเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม โดยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มุ่งเน้นให้ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า มีประสิทธิภาพมากที่สุด สร้างของเสียน้อยที่สุด และให้ความสําคัญกับการนําวัตถุดิบที่ผ่านการผลิตและบริโภคแล้วเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ให้ได้นานที่สุด ในขณะเดียวกัน สร้างมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจ
นโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนกับบทบาทของกระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) รับนโยบายจากกระทรวงอุตสาหกรรม ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมให้เติบโตและเข้มแข็ง และยุทธศาสตร์ที่ 3 การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับ กลยุทธ์ด้านที่ 5 ของแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ภารกิจด้านการกําหนดมาตรฐาน รวมทั้ง การตรวจสอบและรับรอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ในการนี้ สมอ. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวิชาการคณะที่ 5 เศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อจัดทำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยคาดหวังว่าจะเป็นแนวทางให้ภาคธุรกิจนำไปประยุกต์ใช้จริง ร่วมขับเคลื่องนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน
มาตรฐานระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับองค์กร
สำหรับมาตรฐานสากล หรือ ISO ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน พบว่ามี 1) ISO/TC59/SC 17 Sustainability in buildings and civil engineering works 2) ISO/TC 207 Environmental management 3) ISO/TC 251 Asset management 4) ISO/TC 268 Sustainable cities and communities 5) ISO/TC 307 Blockchain and distributed ledger technologies 6) ISO/TC 322 Sustainable finance 7) ISO/TC 323 Circular economy 8) ISO/TC 324 Sharing economy โดยเฉพาะมาตรฐานระหว่างประเทศภายใต้ ISO/TC323 Circular Economy ถือเป็นคณะกรรมการทางด้านเทคนิคขององค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศ (International organization of standardization: ISO) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมาตรฐานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับทั่วโลก กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา
ประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่มีการพัฒนามาตรฐานด้าน เศรษฐกิจหมุนเวียน
ประเทศไทย ถือว่า เป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่มีการพัฒนามาตรฐานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ระดับชาติ โดย สมอ. ได้จัดทำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ มาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ แนวทางการใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนในองค์กร (มาตรฐานเลขที่ มตช. 2-2562) และมาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ ระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับองค์กร เล่ม 2 ข้อกำหนด (มาตรฐานเลขที่ มตช. 2 เล่ม 2 – 2564) โดยคาดหวังว่า ระบบการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทย จะเป็นเครื่องมือและกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนได้ตามเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม สู่การลดการใช้ทรัพยากรการลดปริมาณของเสียและปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์หมุนเวียน ตลอดจน ทำให้ประเทศไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับภูมิภาคและสากล
ลิ้งค์สำหรับดาวน์โหลด https://service.tisi.go.th/tisi-standard-shop/item/nac/35
ข้อกำหนดมาตรฐานระบบการจัดการ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” สำหรับองค์กร
ในภาพรวม พบว่า มีการกำหนดข้อกำหนดตามกรอบการดำเนินงานของมาตรฐานการจัดการเชิงระบบ ตามแนวทางของ ISO 14001:2015 Environment Management Systems ซึ่งมีรายละเอียดเฉพาะเจาะจง ระบุในข้อกำหนดที่ 8.1 ประเด็นเศรษฐกิจหมุนเวียนดังนี้
8.1 ประเด็นเศรษฐกิจหมุนเวียน
ภายในขอบข่ายที่กำหนดไว้ในระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียน องค์กรต้องพิจารณาประเด็นเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องกับ การได้มาซึ่งทรัพยากร การใช้ทรัพยากร และการจัดการของเสีย ของกิจกรรม ผลิตภัณฑ์ และบริการ ที่องค์กรสามารถควบคุมและมีอำนาจในการโน้มน้าว รวมถึง ผลกระทบด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณามุมมองวัฎจักรชีวิต
องค์กรต้องพิจารณากำหนดประเด็นเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ โดยใช้เกณฑ์ที่จัดทำขึ้น ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวต้องพิจารณาในมิติการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
องค์กรต้องสื่อสารประเด็นเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีนัยสำคัญ ในแต่ละระดับและหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตามความเหมาะสม
องค์กรต้องรักษาเอกสารสารสนเทศสำหรับ
ก) ประเด็นเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เกี่ยวข้อง
ข) เกณฑ์ที่ใช้เพื่อการพิจารณาประเด็นเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีนัยสำคัญ
ค) ประเด็นเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีนัยสำคัญ
โดยเพิ่มเติมประเด็นของ Circular economy ที่เฉพาะเจาะจงในข้อที่ 8 โดยพิจารณาประเด็นของเศรษฐกิจหมุนเวียนในข้อกำหนดที่ 8 ซึ่งได้ทำการเปรียบเทียบข้อแตกต่างมาตรฐาน ISO 14001 และ มตช. 2 เล่ม 2-2564 (ตารางที่ 1) ดังนี้
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบข้อแตกต่างมาตรฐาน ISO 14001 และ มตช. 2 เล่ม 2-2564
ภาคเอกชนเรียกร้องให้มีการพัฒนาระบบรับรองและการให้รับรองเพื่อทำการตลาด เศรษฐกิจหมุนเวียน
ภาคเอกชน ตระหนักถึงความสำคัญในการสื่อสารให้ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องตระหนักรู้และเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจขององค์กรโดยคำนึงถึงการหมุนเวียนวัสดุ จึงได้เรียกร้องให้ สมอ. จัดให้มีบริการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อนำใบรับรองไปใช้ประโยชน์ในการทำการตลาด เป็นการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าหรือผู้บริโภค ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาระบบการตรวจสอบและรับรองสำหรับระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนองค์กรของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับชาติและสากล อันเป็นการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นรูปธรรม ผ่านความร่วมมือทางวิชาการระหว่างวีกรีน คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก บพข.
บพข. สนับสนุนการพัฒนาระบบรับรองผ่านความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง วีกรีน มก. กับ สมอ.
ขอบเขตการดำเนินงานของโครงการวิจัย บพข. ผ่านความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง วีกรีน มก. กับ สมอ. เป็นหัวหน้าโครงการ คือ 1) การประยุกต์ใช้มาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ ระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับองค์กร เล่ม 2 ข้อกำหนด 2) การพัฒนากำลังคนให้มีความรู้และสามารถในการเป็นที่ปรึกษา 3) การพัฒนากำลังคนให้มีความรู้และสามารถในการเป็นผู้ตรวจประเมิน และ 4) การตรวจประเมินภายนอกเพื่อให้การรับรองบริษัทนำร่อง ในการดำเนินงานดังกล่าว มีบริษัทนำร่อง จำนวน 26 บริษัท ครอบคลุม 6 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรอาหาร วัสดุก่อสร้าง พลาสติก บรรจุภัณฑ์ แฟชั่นไลฟ์สไตล์ และพลังงานสะอาดที่ผ่านการคัดเลือกจากการพิจารณาความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูง ศักยภาพในการดำเนินการตามข้อกำหนดของมาตรฐาน ความร่วมมือจากบุคคลากรในการจัดตั้งคณะทำงาน และค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมในการตรวจประเมิน รวมทั้ง มีที่ปรึกษาจำนวน 34 คน ที่ผ่านการคัดเลือกจากการพิจารณาองค์ความรู้ทางทฤษฏีและประสบการณ์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยมาจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทนำร่อง เพื่อรับการพัฒนาความสามารถในการเป็นที่ปรึกษา โดยการจัดอบรมเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับที่มาของการพัฒนามาตรฐาน หลักการพัฒนาข้อกำหนด การตีความข้อกำหนดในเชิงปฏิบัติสำหรับองค์กร จากนั้น ให้คำปรึกษาทางเทคนิคกับบริษัทนำร่อง อย่างน้อย 3 ครั้ง นอกจากนี้ มีการจัดอบรมผู้ตรวจประเมิน ไม่ต่ำกว่า 25 คน จาก 4 หน่วยรับรอง เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดและแนวทางการตรวจประเมิน เพื่อทำการตรวจประเมินและให้การรับรองบริษัทนำร่อง อันเป็นการเตรียมความพร้อมให้สามารถขยายขอบเขตการให้บริการตรวจสอบและรับรองในลำดับต่อไป
สามารถสอบถามข้อมูลบริการเพิ่มเติมได้ที่ VGREEN KU
ที่มาข้อมูล : เรียบเรียงโดย รศ. ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่ง (ผู้อำนวยการ วีกรีน คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท วีกรีน เคยู จำกัด)